SEAPPI ชี้ “กรอบกำกับเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย” อาจกระทบรายได้ SMEs กว่า 12,000 ล้านบาทต่อปี
SEAPPI ชี้ “กรอบกำกับเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย” อาจกระทบรายได้ SMEs กว่า 12,000 ล้านบาทต่อปี เพิ่มต้นทุน ลดการลงทุน และชะลอการขยายตัวของธุรกิจในประเทศ
Southeast Asia Public Policy Institute (SEAPPI) ในฐานะสถาบันวิจัยด้านนโยบายระดับภูมิภาค ร่วมกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต จัดเวทีเสวนาเชิงลึก เพื่อหารือและสำรวจแนวทางการสนับสนุนนวัตกรรม การลงทุน และการประกอบธุรกิจภายใต้กรอบการกำกับดูแลที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย โดย SEAPPI ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง “การกำหนดทิศทางกรอบกำกับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยอย่างสมดุล” ซึ่งวิเคราะห์ผลกระทบของแนวทางการกำกับดูแลที่อาจเปลี่ยนไปต่อความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตของผู้ประกอบการไทย
ผลการศึกษาพบว่า หากประเทศไทยออกกฎหมายควบคุมแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อิงจากแนวทางของกฎระเบียบด้านการตลาดดิจิทัล (Digital Markets Act: DMA) ของสหภาพยุโรปเป็นหลัก อาจส่งผลให้รายได้ของผู้ประกอบการ SMEs ในไทยลดลงราว 5,000–12,000 ล้านบาทต่อปี โดยมีสาเหตุจากปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การลดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การเพิ่มค่าธรรมเนียมดิจิทัล และความล่าช้าในการเปิดตัวเครื่องมือหรือฟีเจอร์ใหม่ ในระยะยาว การชะลอตัวของการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาจส่งผลให้ตลาดดิจิทัลของไทยสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจสะสมสูงถึง 150,000–200,000 ล้านบาทภายในปี 2573
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาคบริการดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการค้า การชำระเงิน และโลจิสติกส์ กลุ่ม SMEs ในไทยก็พึ่งพาช่องทางออนไลน์เพื่อเข้าถึงลูกค้าและดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ ปัจจุบันเศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วนราว 6% ของ GDP ในปี 2566 และคาดว่าจะขยายตัวเป็น 11% ภายในปี 2570 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ ได้แก่ การเข้าถึงตลาดที่เปิดกว้าง การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างแพร่หลาย และอุปสรรคต่อการเริ่มต้นธุรกิจต่ำ ส่งผลให้ธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อย สามารถมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจระดับประเทศ ภูมิภาค ไปจนถึงระดับโลกได้
จากการวิเคราะห์กรณีศึกษาและประสบการณ์ในต่างประเทศพบว่า แนวทางของสหภาพยุโรปภายใต้กฎระเบียบด้านการตลาดดิจิทัล (Digital Markets Act: DMA) ส่งผลให้เกิดภาระต้นทุนด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่สูง และนำมาซึ่งการชะลอการเปิดตัวของฟีเจอร์ใหม่ และส่งผลกระทบต่อการพัฒนานวัตกรรมในยุโรป ในขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อาทิ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เลือกใช้แนวทางกำกับดูแลที่ยืดหยุ่น ยึดหลักการด้านความโปร่งใสและการปรับปรุงเฉพาะเจาะจง ลดความเสี่ยงด้านการแข่งขัน ผลการศึกษาระบุว่า กฎระเบียบที่เข้มงวดและการกำกับดูแลเชิงป้องกัน (ex-ante) ของสหภาพยุโรปอาจนำมาซึ่งการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่ตอบสนองต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการปรับปรุงบริการ ลดการเติบโตในภาคส่วนที่พึ่งพาการค้าแพลตฟอร์มดิจิทัล หายไทยนำแนวทางของสหภาพยุโรปมาใช้อาจทำให้นวัตกรรมและการลงทุนในไทยลดลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่ใช้แนวทางการกำกับดูแลที่มีความเข้มงวดน้อยกว่า
ดร.กฤษฎา แสงเจริญทรัพย์ ผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงความสำคัญของการออกแบบกฎระเบียบที่เหมาะสมกับบริบทของไทยว่า “แพลตฟอร์มดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการสร้างโอกาสให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคชาวไทย คำถามที่สำคัญ คือการกำหนดแนวทางกำกับดูแลที่ส่งเสริมความเป็นธรรม และยังสามารถสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมและสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ ประเทศไทยไม่ควรต้องเลือกระหว่างนวัตกรรมหรือการส่งเสริมความเป็นธรรม ประเทศไทยสามารถบรรลุทั้งสองเป้าหมายนี้ไปพร้อมๆ กันได้ ผ่านการออกแบบกฎระเบียบที่มีพื้นฐานความเข้าใจทางเทคนิค มีความสมดุล และสอดคล้องกับสภาพตลาดจริง มากกว่าการนำแนวทางจากต่างประเทศมาใช้โดยตรงโดยไม่ปรับให้เข้าถึงบริบทของไทย”
นายเอ็ดเวิร์ด แรตคลิฟฟ์ กรรมการบริหาร SEAPPI เสริมว่า “ความชัดเจนและความสมดุลของกฎระเบียบจะกำหนดขีดความสามารถทางการแข่งขันระยะยาวของประเทศไทย เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยนั้นเติบโตมาโดยตลอดเพราะมีความเปิดกว้าง มีการแข่งขันสูง และขับเคลื่อนโดยผู้ประกอบการโดยตรง ประเทศไทยจะสามารถรักษาความเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคนี้ได้ต่อไป หรือจะเสี่ยงพบการชะลอการเติบโตและอุปสรรคที่เพิ่มขึ้นในการเข้าถึงตลาดดิจิทัลนั้น ขึ้นอยู่กับการพัฒนากฎระเบียบที่เน้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง และเอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสโดยไม่จำกัดขีดความสามารถของธุรกิจไทย”
ผลการศึกษาของ SEAPPI เสนอให้ภาครัฐใช้กรอบการกำกับดูแลที่ยึดหลักการด้านความโปร่งใสและเน้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง โดยควรมีการแทรกแซงเฉพาะเมื่อมีความเสียหายที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจน การออกกฎระเบียบใหม่นี้ยังควรเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคอุตสาหกรรม และควรเสริมสร้างกลไกความร่วมมือและการประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดความซ้ำซ้อนและสร้างความสม่ำเสมอในการบังคับใช้กฎระเบียบทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ที่พึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัล ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นเป้าหมายการลงทุนที่สำคัญต่อไป
รายงานยังชี้อีกว่า หากไทยสามารถพัฒนากรอบการกำกับดูแลทีเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ไทยจะสามารถก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในประเทศต้นแบบของภูมิภาคในการออกแบบกฎระเบียบดิจิทัลที่เป็นมิตรและทันสมัย
ดาวน์โหลดเอกสารฉบับเต็มได้ที่: link
Southeast Asia Public Policy Institute (SEAPPI) เป็นสถาบันวิจัยด้านนโยบายซึ่งมีสำนักงานในกรุงเทพฯ และสิงคโปร์ สถาบันดำเนินโครงการทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภารกิจหลักของสถาบันคือการผลักดันให้เกิดแนวทางการแก้ไขปัญหาเชิงนโยบายในประเด็นสำคัญที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญอยู่ใน ซึ่งรวมไปถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านความยั่งยืน เทคโนโลยี สาธารณสุข การค้า และธรรมาภิบาล
สถาบันดำเนินงานผ่านเครือข่ายนักวิจัย ที่ปรึกษา และภาคีเครือข่ายในแต่ละประเทศในภูมิภาคเพื่อผลิตข้อมูลเชิงลึกและข้อเสนอแนะในแกภาครัฐ ผู้กำหนดนโยบาย และภาคเอกชน นอกจากนี้สถาบันยังดำเนินการร่วมกับภาคีเครือข่ายในการผลักดันการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงนโยบายผ่านแนวทางดังกล่าว ดังนี้
การวิจัยและการพัฒนานโยบาย – ผ่านการศึกษาที่มุ่งเน้นการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกและแนวนโยบายที่สามารถให้ผู้กำหนดนโยบายที่ต้องการขับเคลื่อนประเด็นสำคัญต่างๆสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง
การเสวนาและการประชุมเชิงนโยบาย – ผ่านการนำเสนอแนวคิดเชิงนโยบายและเปิดพื้นที่เวทีในการหารือร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบาย โดยที่สถาบันยึดหลักการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาบนพื้นฐานของข้อมูลและความเข้าใจ เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายและผู้นำภาคธุรกิจสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและนโยบายสาธารณะที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในภูมิภาค
Southeast Asia Public Policy Institute (SEAPPI) ในฐานะสถาบันวิจัยด้านนโยบายระดับภูมิภาค ร่วมกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต จัดเวทีเสวนาเชิงลึก เพื่อหารือและสำรวจแนวทางการสนับสนุนนวัตกรรม การลงทุน และการประกอบธุรกิจภายใต้กรอบการกำกับดูแลที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย โดย SEAPPI ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง “การกำหนดทิศทางกรอบกำกับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยอย่างสมดุล” ซึ่งวิเคราะห์ผลกระทบของแนวทางการกำกับดูแลที่อาจเปลี่ยนไปต่อความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตของผู้ประกอบการไทย
ผลการศึกษาพบว่า หากประเทศไทยออกกฎหมายควบคุมแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อิงจากแนวทางของกฎระเบียบด้านการตลาดดิจิทัล (Digital Markets Act: DMA) ของสหภาพยุโรปเป็นหลัก อาจส่งผลให้รายได้ของผู้ประกอบการ SMEs ในไทยลดลงราว 5,000–12,000 ล้านบาทต่อปี โดยมีสาเหตุจากปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การลดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การเพิ่มค่าธรรมเนียมดิจิทัล และความล่าช้าในการเปิดตัวเครื่องมือหรือฟีเจอร์ใหม่ ในระยะยาว การชะลอตัวของการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาจส่งผลให้ตลาดดิจิทัลของไทยสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจสะสมสูงถึง 150,000–200,000 ล้านบาทภายในปี 2573
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาคบริการดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการค้า การชำระเงิน และโลจิสติกส์ กลุ่ม SMEs ในไทยก็พึ่งพาช่องทางออนไลน์เพื่อเข้าถึงลูกค้าและดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ ปัจจุบันเศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วนราว 6% ของ GDP ในปี 2566 และคาดว่าจะขยายตัวเป็น 11% ภายในปี 2570 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ ได้แก่ การเข้าถึงตลาดที่เปิดกว้าง การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างแพร่หลาย และอุปสรรคต่อการเริ่มต้นธุรกิจต่ำ ส่งผลให้ธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อย สามารถมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจระดับประเทศ ภูมิภาค ไปจนถึงระดับโลกได้
จากการวิเคราะห์กรณีศึกษาและประสบการณ์ในต่างประเทศพบว่า แนวทางของสหภาพยุโรปภายใต้กฎระเบียบด้านการตลาดดิจิทัล (Digital Markets Act: DMA) ส่งผลให้เกิดภาระต้นทุนด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่สูง และนำมาซึ่งการชะลอการเปิดตัวของฟีเจอร์ใหม่ และส่งผลกระทบต่อการพัฒนานวัตกรรมในยุโรป ในขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อาทิ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เลือกใช้แนวทางกำกับดูแลที่ยืดหยุ่น ยึดหลักการด้านความโปร่งใสและการปรับปรุงเฉพาะเจาะจง ลดความเสี่ยงด้านการแข่งขัน ผลการศึกษาระบุว่า กฎระเบียบที่เข้มงวดและการกำกับดูแลเชิงป้องกัน (ex-ante) ของสหภาพยุโรปอาจนำมาซึ่งการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่ตอบสนองต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการปรับปรุงบริการ ลดการเติบโตในภาคส่วนที่พึ่งพาการค้าแพลตฟอร์มดิจิทัล หายไทยนำแนวทางของสหภาพยุโรปมาใช้อาจทำให้นวัตกรรมและการลงทุนในไทยลดลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่ใช้แนวทางการกำกับดูแลที่มีความเข้มงวดน้อยกว่า
ดร.กฤษฎา แสงเจริญทรัพย์ ผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงความสำคัญของการออกแบบกฎระเบียบที่เหมาะสมกับบริบทของไทยว่า “แพลตฟอร์มดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการสร้างโอกาสให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคชาวไทย คำถามที่สำคัญ คือการกำหนดแนวทางกำกับดูแลที่ส่งเสริมความเป็นธรรม และยังสามารถสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมและสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ ประเทศไทยไม่ควรต้องเลือกระหว่างนวัตกรรมหรือการส่งเสริมความเป็นธรรม ประเทศไทยสามารถบรรลุทั้งสองเป้าหมายนี้ไปพร้อมๆ กันได้ ผ่านการออกแบบกฎระเบียบที่มีพื้นฐานความเข้าใจทางเทคนิค มีความสมดุล และสอดคล้องกับสภาพตลาดจริง มากกว่าการนำแนวทางจากต่างประเทศมาใช้โดยตรงโดยไม่ปรับให้เข้าถึงบริบทของไทย”
นายเอ็ดเวิร์ด แรตคลิฟฟ์ กรรมการบริหาร SEAPPI เสริมว่า “ความชัดเจนและความสมดุลของกฎระเบียบจะกำหนดขีดความสามารถทางการแข่งขันระยะยาวของประเทศไทย เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยนั้นเติบโตมาโดยตลอดเพราะมีความเปิดกว้าง มีการแข่งขันสูง และขับเคลื่อนโดยผู้ประกอบการโดยตรง ประเทศไทยจะสามารถรักษาความเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคนี้ได้ต่อไป หรือจะเสี่ยงพบการชะลอการเติบโตและอุปสรรคที่เพิ่มขึ้นในการเข้าถึงตลาดดิจิทัลนั้น ขึ้นอยู่กับการพัฒนากฎระเบียบที่เน้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง และเอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสโดยไม่จำกัดขีดความสามารถของธุรกิจไทย”
ผลการศึกษาของ SEAPPI เสนอให้ภาครัฐใช้กรอบการกำกับดูแลที่ยึดหลักการด้านความโปร่งใสและเน้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง โดยควรมีการแทรกแซงเฉพาะเมื่อมีความเสียหายที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจน การออกกฎระเบียบใหม่นี้ยังควรเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคอุตสาหกรรม และควรเสริมสร้างกลไกความร่วมมือและการประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดความซ้ำซ้อนและสร้างความสม่ำเสมอในการบังคับใช้กฎระเบียบทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ที่พึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัล ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นเป้าหมายการลงทุนที่สำคัญต่อไป
รายงานยังชี้อีกว่า หากไทยสามารถพัฒนากรอบการกำกับดูแลทีเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ไทยจะสามารถก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในประเทศต้นแบบของภูมิภาคในการออกแบบกฎระเบียบดิจิทัลที่เป็นมิตรและทันสมัย
ดาวน์โหลดเอกสารฉบับเต็มได้ที่: link
Southeast Asia Public Policy Institute (SEAPPI) เป็นสถาบันวิจัยด้านนโยบายซึ่งมีสำนักงานในกรุงเทพฯ และสิงคโปร์ สถาบันดำเนินโครงการทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภารกิจหลักของสถาบันคือการผลักดันให้เกิดแนวทางการแก้ไขปัญหาเชิงนโยบายในประเด็นสำคัญที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญอยู่ใน ซึ่งรวมไปถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านความยั่งยืน เทคโนโลยี สาธารณสุข การค้า และธรรมาภิบาล
สถาบันดำเนินงานผ่านเครือข่ายนักวิจัย ที่ปรึกษา และภาคีเครือข่ายในแต่ละประเทศในภูมิภาคเพื่อผลิตข้อมูลเชิงลึกและข้อเสนอแนะในแกภาครัฐ ผู้กำหนดนโยบาย และภาคเอกชน นอกจากนี้สถาบันยังดำเนินการร่วมกับภาคีเครือข่ายในการผลักดันการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงนโยบายผ่านแนวทางดังกล่าว ดังนี้
การวิจัยและการพัฒนานโยบาย – ผ่านการศึกษาที่มุ่งเน้นการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกและแนวนโยบายที่สามารถให้ผู้กำหนดนโยบายที่ต้องการขับเคลื่อนประเด็นสำคัญต่างๆสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง
การเสวนาและการประชุมเชิงนโยบาย – ผ่านการนำเสนอแนวคิดเชิงนโยบายและเปิดพื้นที่เวทีในการหารือร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบาย โดยที่สถาบันยึดหลักการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาบนพื้นฐานของข้อมูลและความเข้าใจ เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายและผู้นำภาคธุรกิจสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและนโยบายสาธารณะที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในภูมิภาค



No comments